บุหรี่ไฟฟ้า ประเทศไทยจะไปต่ออย่างไร ?

คอลัมน์ความคิด 7 ก.พ. 66 | เข้าชม: 2,917
กรณีที่ #ดาราสาวไต้หวัน อัน ยู๋ ชิง ที่ถูกตำรวจ ตรวจและเรียกเงินจากที่ #ครอบครองบุหรี่ไฟฟ้า ขณะที่มาเที่ยวในเมืองไทย เป็น #ข่าวฉาว โฉ่ไปทั่วโลก
.
ทำให้วิวาทะเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า ว่าควรจะห้ามขายต่อไป หรือควรจะให้ขายได้ถูกกฎหมาย ขยายขอบข่ายการถกเถียงไปทั่วทุกสังคมไทย
.
ประเทศไทยห้ามนำเข้าและขาย #บุหรี่ไฟฟ้า ตั้งแต่ พ.ศ.2557-2558 แต่มีการบังคับใช้กฎหมายที่หย่อนยานมาก ๆ ปล่อยให้มีการลักลอบนำเข้า โดยเฉพาะมีการขายอย่างท้าทายกฎหมาย ทั้งที่วางขายตามที่ต่าง ๆ และที่ขายออนไลน์
.
ที่เป็นตลกร้ายสุด ๆ คือ พอ #เปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว ตำรวจกลับจะไปบังคับใช้กฎหมาย ในจุดที่สำคัญน้อยที่สุด หากว่ากันตามเจตนารมณ์ที่เรามีกฎหมายห้ามนำเข้าและขายบุหรี่ไฟฟ้า คือไปจับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ครอบครองบุหรี่ไฟฟ้า ที่ซื้อจากที่วางขายที่ห้วยขวาง ทำลายภาพลักษณ์ของประเทศไทยอย่างย่อยยับ
.
ที่สำคัญการเลือกบังคับใช้กฎหมายกับกรณีที่เกิดขึ้น ไม่เป็นประโยชน์ใด ๆ ต่อความตั้งใจที่จะให้กฎหมายคุ้มครองคนไทยที่ไม่สูบบุหรี่ โดยเฉพาะป้องกันเด็กและเยาวชน เข้ามาเสพติดบุหรี่ไฟฟ้า ที่ส่วนใหญ่จะติดไปตลอดชีวิต ขอย้ำ ติดไปตลอดชีวิต
.
ตอนนี้มีรัฐมนตรี #กระทรวงดีอีเอส ออกมาเสนอให้ยกเลิกการห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า อ้างว่าเพื่อที่จะลดการเก็บส่วยการทุจริต และ #รัฐบาล จะได้ภาษีจากบุหรี่ไฟฟ้า
.
คำถามจึงปะทุขึ้นมาอีกว่า ควรจะ #ห้ามบุหรี่ไฟฟ้าต่อไป หรือควรจะให้ขายได้ถูกกฎหมาย
.
ถ้าจะห้ามขายต่อไป ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็ต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและโปร่งใส ทั้งที่วางขายตามที่ต่าง ๆ และที่ขายออนไลน์ และต้องเร่งให้ความรู้ถึงอันตรายของการเสพติดบุหรี่ไฟฟ้าอย่างจริงจัง โดยเฉพาะกระทรวงศึกษาธิการที่ต้องเร่งตื่นตัวกับการป้องกันการระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในโรงเรียน
.
ถ้าจะให้ขายได้อย่างถูกกฎหมาย ก็ต้องสามารถที่จะควบคุมการเข้าถึงของเด็กและเยาวชนทั่วประเทศ ที่เป็นเป้าหมายของสินค้าบุหรี่ไฟฟ้า พร้อม ๆ กับการเร่งรณรงค์ให้สังคม โดยเฉพาะผู้ปกครอง เด็กและยาวชนให้รู้ถึงพิษภัยบุหรี่ไฟฟ้า
.
และรัฐบาลต้องออก #กฎหมาย ห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้าที่มีการเติมสารปรุงแต่งกลิ่นรส ที่ 85% ของนักเรียนชั้นมัธยมในสหรัฐอเมริกา 2 ล้านกว่าคนที่สูบบุหรี่ไฟฟ้า สูบชนิดที่มีการปรุงแต่งกลิ่นรส ซึ่งที่อเมริกาพยายามที่จะออกกฎหมายห้ามเติมสารปรุงแต่งกลิ่นรสในบุหรี่ไฟฟ้า แต่ยังออกไม่ได้เพราะบริษัทบุหรี่บล็อกไว้
.
สมมุติว่า ประเทศไทยให้ขายบุหรี่ไฟฟ้าได้ถูกกฎหมาย และกฎหมายห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้าชนิดที่ปรุงแต่งกลิ่นรส
.
บุหรี่ไฟฟ้าชนิดที่ปรุงรสที่เด็กและเยาวชนชื่นชอบ ก็จะมีขายอย่างผิดกฎหมายตามช่องทางต่าง ๆ ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้อย่างแน่นอน กับธรรมชาติการบังคับใช้กฎหมายแบบไทย ๆ ที่เป็นอยู่
.
ฝ่ายที่ขอให้ยกเลิกการห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า บอกว่า ให้ขายได้แล้วรัฐบาลก็ไปควบคุมการเข้าถึงของเด็กสิ
.
ความจริงที่เป็นอยู่คือ ทุกวันนี้เด็กนักเรียนเข้าถึงบุหรี่ธรรมดาจากร้านขายได้ บุหรี่ไฟฟ้าที่เด็กอยากได้ (มากกว่าบุหรี่ธรรมดา) ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
.
จังหวัดต่าง ๆ ยังไม่มีความพร้อมในการทำงานควบคุมยาสูบ อย่างเช่นจังหวัดเชียงราย ที่มีคนสูบบุหรี่ 120,000 คน มีผู้รับผิดชอบประสานงานการควบคุมยาสูบในจังหวัดเพียง 1 คน ที่ต้องประสานให้มีดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ควบคุมยาสูบจังหวัด ทั้งการป้องกันนักสูบหน้าใหม่ (ห้ามขายบุหรี่แก่เด็กอายุไม่ถึง 20 ปี) การป้องกันคนไม่สูบบุหรี่จากควันบุหรี่มือสอง (การบังคับใช้กฎหมายห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ) และการรักษาผู้ที่สูบบุหรี่เพื่อเลิกสูบ ซ้ำยังต้องดูแลงานควบคุมแอลกอฮอล์และยาเสพติด ซึ่งจังหวัดอื่น ๆ ที่มีคนสูบบุหรี่ เกินแสนคน ก็มีคนที่ทำงานควบคุมยาสูบ แอลกอฮอล์และยาเสพติด เพียง 1 ถึง 2 คนเท่านั้น
.
แล้วตอนนี้ เติมภาระเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มเข้าไปในจังหวัด นึกภาพดูว่า จำนวนคนสูบบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน จะเพิ่มขึ้นขนาดไหน
.
ส่วนที่รัฐมนตรีดีอีเอส บอกว่าให้ขายได้ถูกกฎหมาย รัฐจะได้ภาษีจากบุหรี่ไฟฟ้า เป็นการหารายได้จากการขายสิ่งเสพติดให้โทษแก่คนไทย ที่เราคาดหวังว่าผู้นำประเทศต้องแสดงความสามารถ หารายได้เข้าประเทศด้วยวิธีที่ดีกว่านี้
.
ท่านรัฐมนตรีเคยรู้หรือไม่ว่า ธนาคารโลกชี้แนะประเทศต่าง ๆ มากว่า 30 ปีแล้ว ว่ารายได้ภาษีจากการขายสินค้ายาสูบ สุรา ไม่คุ้มกับความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นจากสินค้าทั้งสองตัวนี้ ไม่นับความทุกข์ทรมานของคนที่เสพติด ที่เลิกไม่ได้ เจ็บป่วยและเสียชีวิตก่อนเวลา
.
สิ่งที่วงการสุขภาพและองค์การอนามัยโลกกังวลที่สุดคือ บุหรี่ไฟฟ้า จะลบล้างผลสำเร็จที่สังคม รัฐบาลทั่วโลกต่อสู้มายาวนานเพื่อลดคนที่สูบบุหรี่ ซึ่งบุหรี่ไฟฟ้าจะทำให้งานควบคุมยาสูบยากยิ่งขึ้น และต้องใช้เวลานานขึ้น ในการที่จะถึงเป้าหมายสังคมปลอดบุหรี่ ปลอดการเสพติดนิโคติน
.
สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณ พล.ต.ท. ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการ #ตำรวจนครบาล (ผบช.น) ที่สั่งการให้ตำรวจทุกท้องที่ในกรุงเทพฯ กวาดล้างจับกุมบุหรี่ไฟฟ้าที่วางขายตามที่ต่าง ๆ
.
แต่อยากให้ #สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สั่งการให้ตำรวจทั่วประเทศดำเนินการเช่นเดียวกันด้วย และขออย่าให้ทำเป็นเพียงกระแสชั่วครู่ชั่วคราว
.
และขอบคุณท่านรัฐมนตรี ตรีนุช เทียนทอง ที่ประกาศให้โรงเรียนในทุกสังกัด เร่งรณรงค์ให้โรงเรียนปลอดบุหรี่ไฟฟ้า
.
ทั้ง 2 เรื่อง เป็นงานที่ต้องทำจริงจัง ต่อเนื่อง ไม่ว่าจะยังคงห้ามขาย หรือยกเลิกการห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า
.
ที่ไม่ลืมที่จะต้องขอบคุณคือคุณ อัน ยู๋ ชิง ดาราสาวไต้หวัน ที่รักความถูกต้องชอบธรรม เปิดโปงเรื่องที่เธอต้องเผชิญที่เมืองไทย
.
ส่วนที่รัฐมนตรีดีอีเอส จะเสนอให้ #พรรคการเมือง ที่ท่านสังกัด หาเสียงด้วยนโยบายเลิกห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า เป็นสิทธิ์ของท่านและพรรค ที่ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินที่คูหาเลือกตั้ง
.
.
ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ
3 มกราคม 2566
 

“ตรีนุช”ออกนโยบายโรงเรียนเขตปลอดบุหรี่ไฟฟ้า... สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/1957030/
 
.
ตร.ไทยทำงานแล้ว!!! ผบช.น.สั่งด่วน 88 สน.ทั่วกรุงเทพฯ กวาดล้าง'บุหรี่ไฟฟ้า'
.